ทางเลือกที่ดีอย่างหนึ่งของชาวนาในการทำการเกษตร คือ การทำชลประทานเพื่อการเพาะปลูกโดยใช้น้ำเสียซึ่งเป็นทางเลือกที่ประหยัดและให้คุณค่าด้านสารอาหารเป็นอย่างมาก แต่หากไม่มีการดูแลที่ถูกต้อง อาจเกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก วารสารไอเอสโอโฟกัสจึงแนะนำเทคนิคและมาตรฐานที่ช่วยให้เกษตรกรสามารถใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและมีความยั่งยืน
ที่ประเทศรวันดา เป็นเรื่องธรรมดาที่จะเห็นชาวนาเตรียมที่ดินเพื่อเพาะปลูกด้วยจอบ ไม่ต้องพูดถึงเครื่องจักรกลการเกษตรซึ่งเพิ่งจะเป็นที่รู้จักในประเทศเมื่อไม่นานมานี้ ประเทศรวันดาก็เหมือนประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ที่ผลผลิตส่วนใหญ่มีการบริโภคภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังมีความหวังว่าในอนาคตจะก้าวไปไกลกว่านี้ ซึ่งโครงการของรัฐบาลในการปฏิรูปภาคการเกษตรซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า วิสัยทัศน์ 2020 นั้น กำลังนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่ก่อนที่จะประสบความสำเร็จได้ ก็ต้องก้าวข้ามความท้าทายในเรื่องของน้ำไปเสียก่อน
นานนับศตวรรษมาแล้ว “น้ำ” เป็นปัจจัยสำคัญในการทำให้เกิดอาหารที่อุดุมสมบูรณ์หรือความหิวโหยได้ และการชลประทานก็เกิดขึ้นมาเป็นวิถีของมนุษย์ในการควบคุมปัจจัยต่างๆ ที่ลดความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิผลทางการเกษตร ปัจจุบัน 70% ของทรัพยากรน้ำตามธรรมชาติบนโลกนี้ได้นำไปใช้ในเกษตรกรรม มีเพียง 20 % ของพื้นที่การเกษตรเท่านั้นที่นำไปใช้ในการชลประทาน และตัวเลขนี้ยังทำให้เราต้องระมัดระวังถึงความไม่มั่นคงปลอดภัยในด้านอาหารหรือภาคการเกษตรอีกด้วย
จากข้อมูลขององค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization: FAO) เมื่อประชากรมีมากถึงเก้าพันล้านล้านคนภายในปี 2593 (ค.ศ.2050) เราจำเป็นต้องผลิตอาหารให้ได้ถึง 60% หรือมากกว่านั้นเพื่อให้เพียงพอต่อคนทั้งโลก และเพื่อที่จะเพาะปลูกให้ได้มากขึ้น เราจำเป็นต้องทำการชลประทานให้มากขึ้น แต่องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Economic Cooperation and Development: OECD) ระบุว่าเมื่อถึงเวลานั้น ข้อจำกัดของทรัพยากรน้ำจะมีมากขึ้นถึง 55 % ด้วย
แม้ว่าจะมีน้ำเพียงพอเพื่อตอบสนองความต้องการของคนทั้งโลก แต่การบริโภคที่มากเกินไปและผลที่ตามมาของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจนำไปสู่การขาดแคลนน้ำ ผืนดินที่มีคุณภาพลดลง และการขาดแคลนอาหารได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในพื้นที่ที่ไม่ค่อยมีการพัฒนา ดังนั้น การทำให้เกษตรกรสามารถจัดการกับน้ำให้ดีขึ้นได้จึงเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นมาก มิฉะนั้นแล้ว เกษตรกรผู้ยากไร้จะต้องเผชิญกับปัญหาดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
น้ำเสียและน้ำทิ้งจำนวนมากหมุนเวียนกลับสู่ธรรมชาติโดยไม่ได้รับการบำบัดหรือใช้ซ้ำทำให้เป็นมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้น หนึ่งในเป้าหมายของ SDGs (Sustainable Development Goals) ขององค์การสหประชาชาติ ก็คือ มีการใช้น้ำอย่างปลอดภัยและการรีไซเคิลน้ำที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นหัวข้อที่วันน้ำโลกในปีนี้ให้ความสำคัญ และเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับภาคการเกษตร
น้ำเสียเป็นทั้งความยั่งยืนและความมีประสิทธิภาพแต่ก็ยังไม่ใช่นวัตกรรมที่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง ความจริงก็คือในชุมชนที่เป็นชนบทจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศกำลังพัฒนา น้ำเสียและน้ำทิ้งมักจะเป็นแหล่งเดียวที่ใช้ในการชลประทาน แม้กระทั่งเมื่อมีทางเลือกอื่นเข้ามา เกษตรกรที่ทำการเกษตรขนาดเล็กยังให้คุณค่าของน้ำทิ้งว่าให้สารอาหารที่มีคุณค่าสูง ซึ่งทำให้ความจำเป็นในการใช้ปุ๋ยราคาแพงลดลง วิธีปฏิบัตินี้จึงได้กลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับวิถีชีวิตของเกษตรกรในเอเชีย ลาตินอเมริกา อัฟริกา รวมทั้งในประเทศรวันดาด้วย แต่ข้อเสียของมันก็คือถ้าไม่มีการบำบัดน้ำเสียที่ดีก่อนนำไปใช้ซ้ำ ก็จะก่อให้เกิดปัญหาการปนเปื้อนในที่ดิน น้ำใช้ และพืชผลต่างๆ ได้ และเกิดความเสี่ยงด้านสุขภาพของเกษตรกร ชุมชนข้างเคียง และผู้บริโภคด้วย
ปัจจุบัน โลกของเรามีเทคโนโลยีที่ทำให้สามารถแยกสิ่งปนเปื้อนออกจากน้ำเสียให้ใช้งานได้อย่างปลอดภัย ซึ่งไอเอสโอได้พัฒนามาตรฐาน ISO 16075 – Guidelines for treated wastewater use for irrigation projects
ขึ้นมาเพื่อให้มีการนำไปใช้เป็นแนวทางสำหรับการใช้นำเสียบำบัดในโครงการชลประทานต่างๆ
มาตรฐานดังกล่าวครอบคลุมประเด็นใด และประเทศรวันดาจะได้รับประโยชน์จากมาตรฐานดังกล่าวอย่างไรบ้าง โปรดติดตามต่อในครั้งต่อไปซึ่งเป็นตอนจบค่ะ
ที่มา: https://www.iso.org/news/Ref2184.htm
Related posts
Tags: ISO, ISO16075, Standardization, wastewater management
Recent Comments