ในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมทางทะเลได้เปลี่ยนแปลงไป มีการผลักดันให้การขนส่งทางทะเลต้องมีประสิทธิภาพด้านพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น มีความเป็นอัจฉริยะมากขึ้น รวมทั้งปลอดภัยมากขึ้น สิ่งที่ไม่มีใครคาดหวังก็คือการปฏิบัติเหล่านี้ไม่เพียงแต่นำมาซึ่งผลประโยชน์ในทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังนำมาซึ่งการนำเสนอสินค้าและบริการที่สามารถสร้างคุณค่ารวมให้กับลูกค้าในอุตสาหกรรมการขนส่งทางเรือได้อีกด้วย
การขนส่งทางเรือที่มีทางเลือกสีเขียวมากขึ้นและมีค่าใช้จ่ายน้อยลงนับเป็นวิธีการขนส่งสินค้าที่เป็นที่นิยมมาก ซึ่งการขนส่งทางเรือทั่วโลกมีถึง 90% และเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับเศรษฐกิจโลก แต่แม้ว่าจะมีประโยชน์เช่นนี้ ความต้องการที่เติบโตขึ้นก็กำลังผลักดันให้เกิดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมสูงขึ้นในระดับที่ไม่อาจยอมรับได้
การเตือนภัยจากผู้เชี่ยวชาญระดับสูง ซึ่งมีการตีพิมพ์ในวารสาร Nature เมื่อต้นปีนี้ กล่าวอ้างว่าโลกของเรามีเวลาแค่3 ปีที่จะหยุดยั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แล้วอุตสาหกรรมนี้จะก้าวข้ามความท้าทายได้หรือไม่ เรายังมีความหวังรออยู่เบื้องหน้า นั่นคือ มาตรฐานใหม่ที่ทำให้เกิดคำมั่นสัญญาที่ไม่เพียงแต่สร้างการขนส่งที่เป็นสีเขียวมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังจัดสรรวิธีที่อุตสาหกรรมต้องทำงานใหม่ให้อีกด้วย
แน่นอน ถ้าสิ่งที่จำเป็นคือมาตรฐาน สถานที่ที่เหมาะสมก็คือ ไอเอสโอ นั่นเอง
ผู้อำนวยการพัฒนาธุรกิจของกลุ่มโจตัน ผู้ผลิตสีสัญชาตินอรเวย์ กล่าวว่าใครจะไปคาดคิดว่ามาตรฐานจะสามารถเปลี่ยนแปลงกฎกติกาเพื่ออุตสาหกรรมทั้งมวล นี่เป็นสิ่งที่พิเศษสุดจริงๆ เขากล่าวถึงมาตรฐาน ISO 19030 ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรฐานการขนส่งทางเรือเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่โดยคณะกรรมการวิชาการของไอเอสโอในด้านเทคโนโลยีทางน้ำและการเดินเรือ (ISO/TC8)
โคอิชิ โยชิดะ ประธานคณะอนุกรรมการวิชาการไอเอสโอด้านการปกป้องสิ่งแวดล้อมทางน้ำ (ISO/TC8/SC2) กล่าวว่าอุตสาหกรรมเดินเรือก็เหมือนกับอุตสาหกรรมอื่นๆ กล่าวคือ หนึ่งในศัตรูตัวฉกาจของการเดินเรือเมื่อเราพูดถึงฟุตพริ้นท์ก็คือ ก๊าซเรือนกระจก (GHG) นั่นเอง สิ่งนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับประสิทธิภาพด้านพลังงาน ดังนั้น ภาคส่วนการขนส่งจึงมีแรงกดดันมหาศาลในการเพิ่มสมรรถนะของเชื้อเพลิง เมื่อปี 2555 (ค.ศ.2012) การเดินเรือมีส่วนในการทำให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลกถึง 2.1%
องค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (The International Maritime Organization: IMO) กำลังเพิ่มความกดดันให้กับเรือที่สร้างใหม่ด้วยการเรียกร้องให้มีการใช้เชื้อเพลิงที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ซึ่งก็สมเหตุสมผลอยู่ แต่แนวทางการแก้ไขปัญหาในทางปฏิบัติจะเป็นอย่างไร เราอาจจะแปลกใจที่ได้ยินว่าการเน้นเรื่องของสมรรถนะของใบพัดและสิ่งห่อหุ้มเรือเป็นหนึ่งในหนทางที่จะทำให้สำเร็จได้
ทั้งนี้ เนื่องจากบางส่วนของตัวเรือต้องสัมผัสกับน้ำโดยตรง เมื่อเคลื่อนผ่านน้ำ เรือต้องใช้พลังงานในการต้านแรงเสียดทานที่บางส่วนของตัวเรือ ดังนั้น พลังที่ใช้ไปจึงขึ้นอยู่กับสภาพของผิวตัวเรือที่มีความเปียก ถ้าผิวมีความลื่น ก็จะมีประสิทธิภาพมากกว่าและใช้พลังงานน้อยกว่าผิวที่ขรุขระ ตรรกะที่คล้ายกันนี้ใช้กับใบพัดด้วยเช่นกัน การเสียดทานสามารถมีผลมากถึง 80% ของแรงต้านที่เรือจำเป็นต้องวิ่งเพื่อเคลื่อนไปยังความเร็วที่ต้องการซึ่งก็มีประมาณ 80% ของการใช้พลังงานทั้งหมด
แต่สภาพแวดล้อมใต้น้ำนั้นมีความรุนแรงและตัวเรือและใบพัดก็มีความเสี่ยงต่อการสัมผัสกับพวกเลน โคลน วัชพืช หรือเพรียงที่มีโอกาสสัมผัสกับผิวของเรือ แต่การสัมผัสกับวัตถุเหล่านั้นอาจจะเพิ่มความต้านทานและทำให้เพิ่มการใช้พลังงานมากขึ้นกว่า 60%
ข้อมูลจากองค์กร Clean Shipping Coalition ซึ่งเป็นองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเพียงองค์กรเดียวที่ให้ความสนใจในประเด็นของการขนส่งทางเรือโดยเฉพาะ ระบุว่าการทำให้สมรรถนะของตัวเรือและใบพัดเสื่อมลงนั้นมีประมาณหนึ่งในสิบของโลกของค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและการปล่อยก๊าซคาร์บอนทั้งหมด ซึ่งแปลงเป็นเงินถึงพันล้านดอลล่าร์ซึ่งทำให้เกิดความสูญเสียในแต่ละปีและเพิ่มการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากมนุษย์ถึง 0.3%
แม้แต่การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ จากการต้านทานของการเสียดทานสามารถมีผลกระทบเป็นอย่างมากต่อพลังงานที่จำเป็นต้องขับเคลื่อนเรือไปในระดับความเร็วเดียวกัน เจ้าของเรือและผู้ปฏิบัติงานทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี ดังนั้น ทุกๆ 3 – 5 ปี จะต้องมีการบำรุงรักษาเรือเพื่อให้ตัวเรือและใบพัดได้รับการทำความสะอาดและทาสีใหม่ด้วย ทางเลือกของสีก็เป็นสิ่งสำคัญเพราะมันจะช่วยปกป้องตัวเรือจากความเสียหายและช่วยดูแลรักษาอินทรีย์วัตถุทางน้ำด้วย แต่เท่าที่ผ่านมา มีความยากลำบากในการระบุว่าระบบสีแบบไหนดีหรือไม่ดี เจ้าของเรือมักจะไม่เข้าใจเทคโนโลยีและเรื่องของสารเคมีในสี จึงไม่ได้ให้ความสนใจกับผลกระทบที่มันมีต่อเรือเท่าใดนัก พวกเขาแค่ต้องการใช้สีราคาถูกที่สุดเท่านั้น จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเรือที่แล่นอยู่ทั่วโลกไม่ได้สนใจเรื่องชีวภาพและมักจะใช้พลังงานมากเกินกว่าที่จำเป็น
ด้วยเหตุนี้ มาตรฐาน ISO 19030 – Ships and Marine Technology จึงเป็นทางออกที่สำคัญในการป้องกันปัญหาดังกล่าว รายละเอียดจะเป็นอย่างไร โปรดติดตามได้ในตอนต่อไปซึ่งเป็นตอนจบค่ะ
ที่มา: https://www.iso.org/obp/ui/#iso:std:iso:19030:-1:ed-1:v1:en
Related posts
Tags: ISO, ISO19030, Ships and marine technology, standard
ความเห็นล่าสุด