เมื่อกล่าวถึงเรื่องความมั่นคงทางอาหาร หลายประเทศมีความวิตกกังวลอยู่มากเนื่องจากประสบกับปัญหาการขาดแคลนอาหารด้วยปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาวะโลกร้อนที่ส่งผลต่อพื้นที่เกษตรกรรม การขาดแคลนน้ำ การขาดแคลนแรงงาน หรือการระบาดใหญ่ บางประเทศก็มีแนวโน้มที่จะประสบปัญหาการเข้าถึงอาหารที่มีคุณภาพอย่างเพียงพอในอนาคต ดังนั้น ทางออกของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกคือ การทำสมาร์ทฟาร์มหรือฟาร์มอัจฉริยะนั่นเอง
การทำฟาร์มอัจฉริยะมีเป้าหมายประการหนึ่งคือการใช้ประโยชน์จากที่ดินให้ดีขึ้นและปรับปรุงผลผลิต ซึ่งเป็นด่านแรกในการนำไปสู่การยุติปัญหาความหิวโหยของมนุษยชาติ แต่การทำฟาร์มอัจฉริยะจะมีประโยชน์อะไรอีกบ้างเมื่อเปรียบเทียบกับวิธีการทั่วไป บทความ MASCIInnoversity ในตอนนี้ แองเจลา ชูสเตอร์ ผู้ก่อตั้ง Schuster Consulting Group และผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารโครงการและฟาร์มอัจฉริยะ จะมาเล่าถึงเรื่องราวของฟาร์มอัจฉริยะที่กำลังจะพลิกโฉมหน้าของอาหารในอนาคตให้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ดังต่อไปนี้
การทำฟาร์มอัจฉริยะเป็นตัวขับเคลื่อนชั้นนำที่ดีในการผลิตอาหารให้ได้มากขึ้นในขณะที่ประชากรโลกกำลังเพิ่มขึ้นแต่กลับมีอาหารน้อยลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การทำฟาร์มอัจฉริยะช่วยให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นผ่านการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและการใช้ปัจจัยการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตลอดจนการจัดการที่ดินและสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังมีประโยชน์อื่นๆ อีกที่ฟาร์มอัจฉริยะสามารถให้แก่เกษตรกรและชุมชนทั่วโลกได้
เมื่อหันไปมองห่วงโซ่อุปทานแบบเดิมซึ่งมีลักษณะเฉพาะคือความไม่สมดุลของอำนาจกับเกษตรกรซึ่งมักจะมีอำนาจน้อยกว่า เพราะพวกเขาได้รับข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการทำงานของผลิตภัณฑ์น้อยกว่าเมื่อเทียบกับความต้องการของลูกค้า การทำฟาร์มอัจฉริยะมีความเชื่อมโยงที่สำคัญระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกคนที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานโดยช่วยให้มีการไหลเวียนของข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพและเท่าเทียมกัน และในการทำเช่นนี้ จะช่วยให้ตัดสินใจได้ดีขึ้น และมีศักยภาพในการปรับสมดุลพลังงานรวมทั้งกระจายผลกำไรอย่างเท่าเทียมกันตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน
ตัวอย่างเช่น หากเกษตรกรได้รับข้อเสนอแนะเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของตนในเวลาที่เหมาะสมจากส่วนต่างๆ ของห่วงโซ่อุปทาน เช่น ผู้แปรรูปและผู้บริโภค พวกเขาก็จะสามารถระบุโอกาสในการเปลี่ยนระบบการผลิตของตนให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ของตน
นอกจากนี้ การตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้าก็มีความสำคัญต่อธุรกิจการเกษตรที่ยั่งยืนในอนาคต และการทำฟาร์มอัจฉริยะสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อให้สิ่งต่างๆ เหล่านั้นเกิดขึ้นได้
การทำฟาร์มอัจฉริยะยังสนับสนุนกิจกรรมการตรวจสอบด้วยการเชื่อมต่อข้อมูลผ่านห่วงโซ่อุปทานเพื่อให้สามารถตรวจสอบการแสดงสรรพคุณของผลิตภัณฑ์และการผลิตได้ด้วย สิ่งเหล่านี้อาจเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของอาหารที่ผลิต (เช่น ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีสารเคมีตกค้าง) ในที่ซึ่งมันเติบโต การบำบัดสัตว์ในฟาร์ม หรือแนวทางปฏิบัติเพื่อความยั่งยืนที่ช่วยปกป้องสิ่งแวดล้อม (เช่น ลดการปล่อยก๊าซ GHG)
การทำฟาร์มอัจฉริยะช่วยให้เกษตรกรเข้าใจปัจจัยที่สำคัญต่างๆ ได้ดีขึ้น เช่น น้ำ ภูมิประเทศ ลักษณะ พืชพรรณ และประเภทดิน เป็นต้น ซึ่งช่วยให้เกษตรกรสามารถกำหนดการใช้ทรัพยากรที่หายากได้ดีที่สุดภายใต้สภาพแวดล้อมในการผลิตของตนเอง และสามาถจัดการสิ่งเหล่านั้นในลักษณะที่ยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจได้ นอกจากนี้ ยังช่วยให้เกษตรกรสามารถตรวจสอบปริมาณและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ได้ทันท่วงทีและปรับเทคนิคการผลิตได้เมื่อจำเป็นด้วย
สำหรับคำถามที่ว่าระบบอัตโนมัติได้เปลี่ยนแปลงเกษตรกรรมไปอย่างไร และจะส่งผลกระทบต่องานในฟาร์มและเศรษฐกิจในชนบทอย่างไรบ้าง แองเจลากล่าวว่าระบบอัตโนมัติกำลังเปลี่ยนแปลงวิถีของเกษตรกรรมที่เกษตรกรสามารถตัดสินใจได้อย่างทันท่วงที พวกเขามีข้อมูลเชิงลึกมากขึ้นเกี่ยวกับโอกาส ความท้าทาย และข้อจำกัดที่อาจเกิดขึ้น เกษตรกรสามารถมีวิธีการที่มีประสิทธิภาพและสร้างสรรค์มากขึ้น เติบโตมากขึ้นด้วยการใช้ทรัพยากรที่น้อยลง จากมุมมองทางเศรษฐกิจ ระบบอัตโนมัติทำให้เกษตรกรสามารถลดต้นทุน เวลา และการสูญเสียลงได้ ซึ่งหมายความว่าสามารถทำกำไรได้มากขึ้น และมีการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย
นอกจากนี้ ระบบอัตโนมัติยังเปลี่ยนแปลงประเภทของงานและวิธีการทำงานในฟาร์มอีกด้วย ซึ่งจำเป็นต้องมีชุดทักษะที่แตกต่างกันเพื่อทำความเข้าใจและใช้เทคโนโลยีการทำฟาร์มอัจฉริยะ การเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ช่วยเพิ่มพลังให้ผู้เข้าร่วมในอุตสาหกรรมได้กว้างขึ้น และดึงดูดผู้คนใหม่ๆ ที่อาจไม่เคยคิดว่าจะประกอบอาชีพเกษตรกรรมมาก่อน ในทางกลับกัน การทำฟาร์มอัจฉริยะสามารถลดความซับซ้อนของทักษะที่จำเป็นลงได้ด้วย
ในการทำฟาร์มอัจฉริยะโดยใช้แอปพลิเคชั่นเพื่อการใช้ปุ๋ยและหว่านแบบอัตราผันแปร (VRS: Variable-rate sowing) เป็นตัวอย่างที่ดีซึ่งเกี่ยวข้องกับระบบซอฟต์แวร์เพื่อปรับอัตราการหว่านเมล็ดหรือปุ๋ยโดยอัตโนมัติในขณะที่รถแทรกเตอร์เคลื่อนที่ไปตามดินแต่ละประเภทในแผนที่ซึ่งทำให้สามารถใช้ประโยชน์จากความแตกต่างกันของความอุดมสมบูรณ์ในดินรวมทั้งความเค็ม ความชื้น และปัจจัยอื่นๆ
ในบางกรณี การปรับอัตราต่างๆ อาจเป็นการทำแบบเรียลไทม์โดยอิงจากภาพถ่ายดาวเทียมหรืออิงจากการแจกแจงในอดีตที่เห็นบนแผนที่ดิจิทัล การใช้ปุ๋ยอัตราผันแปรมีศักยภาพที่จะมีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อการใช้วัตถุดิบและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ผ่านการจัดการที่แม่นยำของธาตุอาหารมหภาคและจุลภาค เพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะของพืชที่ปลูกในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน
ในกรณีดังกล่าว ผู้ปฏิบัติงานรถแทรกเตอร์จำเป็นต้องเข้าใจซอฟต์แวร์และการทำงานของเครื่องจักร สามารถอ่านและตีความข้อมูล เพื่อตรวจสอบการใช้งานขณะที่รถแทรกเตอร์เคลื่อนตัวผ่านภาคสนาม และทำการปรับเปลี่ยนตามต้องการได้ แน่นอนว่าผู้ควบคุมรถอาจจะอยู่หรืออาจจะไม่อยู่ในรถแทรกเตอร์เลยก็ได้ ซึ่งแสดงว่าพวกเขาสามารถทำงานอื่นๆ ไปด้วยก็ได้ในขณะที่ทำการเฝ้าติดตาม อย่างไรก็ตาม ระบบอัตโนมัติอาจสร้างความท้าทายให้กับเกษตรกรบางรายที่พบว่าการปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีนี้เป็นเรื่องที่น่ากังวล ดังนั้น ผู้ให้บริการเทคโนโลยีจึงจำเป็นต้องทำให้เทคโนโลยีของตนใช้งานได้ง่ายเพื่อให้มีการนำไปใช้ในวงกว้างยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีการทำฟาร์มอัจฉริยะมักจะมีราคาสูง แล้วการทำฟาร์มอัจฉริยะสามารถช่วยเกษตรกรส่วนใหญ่ของโลกได้อย่างไร โปรดติดตามคำตอบในบทความครั้งต่อไปค่ะ
ที่มา: https://www.iso.org/news/ref2799.html
Related posts
Tags: GHG, ISO, Production claims, Smart agriculture, Smart farm, Standardization, Standards, Supply Chain, VRS
ความเห็นล่าสุด