เมื่อเดือนพฤษภาคม 2566 บริษัท Contrive Datum Insights ได้เผยแพร่ผลการวิจัยตลาดการรับรองไอเอสโอทั่วโลกโดยคาดการณ์ว่าระหว่างปี 2566 – 2573 (ค.ศ.2023 – 2030) จะมีมูลค่าสูงถึง 34 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีอัตราการเติบโตแบบทบต้นโดยเฉลี่ยต่อปี หรือ CAGR (Compound Annual Growth Rate) ที่ 14.7% ทั้งนี้ การรับรองตามมาตรฐานไอเอสโอเป็นสิ่งที่มีความสำคัญในการแสดงถึงคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการอันแสดงถึงความปลอดภัย และประสิทธิผลของผลิตภัณฑ์ บริการ หรือกระบวนการ ทำให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจในคุณภาพ และความปลอดภัย
ผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพไม่เพียงแต่ช่วยให้ธุรกิจได้รับความพึงพอใจและรักษาลูกค้าเอาไว้ได้เท่านั้น แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงและต้นทุนในการเรียกคืนผลิตภัณฑ์อีกด้วย การยึดมั่นในมาตรฐานการจัดการคุณภาพ จะทำให้ธุรกิจสามารถบรรลุความได้เปรียบในการแข่งขัน นอกจากนี้ การรับรองจากองค์กรที่มีชื่อเสียงและเชื่อถือได้ยังช่วยให้ธุรกิจเพิ่มความน่าเชื่อถือและประสิทธิภาพโดยรวมอีกด้วย
คาดว่าผู้นำการรับรองตามมาตรฐานไอเอสโอคือตลาดเอเชียแปซิฟิก เนื่องจากมีจำนวนประชากร ธุรกิจอุตสาหกรรม และความต้องการที่เพิ่มขึ้น ผู้ผลิตสำหรับผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพมาตรฐาน นอกจากนี้ การมีธุรกิจอุตสาหกรรมจำนวนมากและฐานลูกค้าขนาดใหญ่ในภูมิภาคนี้ทำให้คาดการณ์ได้ว่าจะกระตุ้นตลาดการรับรองมาตรฐานไอเอสโอทั่วโลก และคาดว่าตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับสองคืออเมริกาเหนือและยุโรป เนื่องจากมีนโยบายที่เข้มงวดเกี่ยวกับการส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพตามมาตรฐานสากล
จากรายงานดังกล่าว พบว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อเมริกาเหนือครองส่วนแบ่งรายได้เป็นหลัก และสำหรับกลุ่มตลาดต่างๆ ในยุโรปยังคงรักษาส่วนแบ่งที่สำคัญของตลาดการรับรองมาตรฐานไอเอสโอทั่วโลกได้ และเนื่องจากมีปริมาณการก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น จึงคาดการณ์ว่าตลาดการรับรองไอเอสโอทั้งในอเมริกาเหนือและตลาดในยุโรปจะยังคงเติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก
สิ่งสำคัญคือต้องคำนึงถึงเมื่อวิเคราะห์ตลาดการรับรองไอเอสโอ คือ ปัจจัยเฉพาะในท้องถิ่นในแต่ละภูมิภาค เนื่องจากสภาวะตลาดและแนวโน้มอาจแตกต่างกันอย่างมากในแต่ละภูมิภาคและแม้แต่ในแต่ละประเทศเอง
มีความท้าทายหลายประการที่อาจทำให้การขยายตัวของตลาดการรับรองมาตรฐานไอเอสโอทั่วโลกช้าลง ข้อจำกัดที่สำคัญที่สุดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ได้แก่ การมีค่าใช้จ่ายสูง กระบวนการมีความซับซ้อน การขาดความเข้าใจในข้อกำหนดของไอเอสโอ และความรู้ทางเทคนิคด้านมาตรฐานมีไม่เพียงพอ
สิ่งที่ยังคงเป็นอุปสรรคต่อการยอมรับในผลิตภัณฑ์และบริการในระดับสากล คือ มาตรฐานและกฎระเบียบที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ อันเป็นผลมาจากโลกาภิวัตน์ทางการค้า กฎระเบียบและมาตรฐานระดับภูมิภาคที่แตกต่างกัน ซึ่งส่งผลให้เกิดความขัดแย้งระหว่างมาตรฐานในประเทศและระหว่างประเทศซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการขยายตลาด นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงของมาตรฐานการกำกับดูแลในแต่ละภูมิภาคยังส่งผลให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันของอัตราภาษี และทำให้ธุรกิจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม (เช่น การจ้างบุคลากรในท้องถิ่นเพื่อจัดการเรื่องภาษี ฯลฯ) สิ่งเหล่านี้อาจขัดขวางประสิทธิภาพของธุรกิจอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงอื่น ๆ เช่น ความล้มเหลวของผลิตภัณฑ์ และฟังก์ชั่นการทำงานที่ผิดพลาด เป็นต้น
สำหรับการพัฒนาและการขยายตลาดการรับรองมาตรฐานไอเอสโอ มีโอกาสที่เป็นไปได้มากที่สุดอยู่ 2 ประการ ได้แก่ ประการแรก การรับรู้ที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการโดยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นและการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ทำให้ผู้คนให้ความสำคัญมากขึ้นเกี่ยวกับข้อดีและข้อเสียของสินค้าและบริการนั้น ประการที่สอง ทั้งนี้ เนื่องจากมีการรับรู้ที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับคุณภาพมาตรฐานและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์หรือบริการ ดังนั้น จึงส่งผลต่อความต้องการผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานมากขึ้น ขณะเดียวกัน ธุรกิจและองค์กรต่างก็ให้ความสำคัญกับการสร้างมาตรฐานคุณภาพและบริการของผลิตภัณฑ์ของตนเองมากขึ้น ซึ่งมีส่วนช่วยในการขยายตลาดของการรับรองมาตรฐานไอเอสโอต่อไป
ธุรกิจอุตสาหกรรมที่มีโครงสร้างพื้นฐานด้านมาตรฐานที่แข็งแกร่งทั้งในระดับประเทศและระหว่างประเทศจะช่วยอำนวยความสะดวกทางการค้า สามารถขยายตลาด และสนับสนุนให้มีความก้าวหน้ามากขึ้นทั้งทางสังคม และเศรษฐกิจ รวมทั้งช่วยปกป้องสิ่งแวดล้อมในกรณีที่ธุรกิจนำมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการสิ่งแวดล้อมหรือความยั่งยืนไปใช้งาน
ที่มา: 1. https://finance.yahoo.com/news/iso-certification-market-expected-reach-230000903.html
2. https://blogs.worldbank.org/trade/local-global-ambitions-benefits-standards-compliance
Related posts
Tags: Economy, Industry, ISO, Products, Quality, safety, services, standard, Standardization
Recent Comments